Friday, May 9, 2014

Dog War ยุติสงคราม 4 ขา ใน 5 ขั้นตอน




         ครั้งที่สามแล้วที่ผมเย็บแผลฉีกขาดจากการกัดกันให้สุนัขตัวนี้ ปัญหาเดิม ๆ คือ สุนัขกัดกับสุนัขอีกตัวในบ้าน ยังไม่นับการเป็นแผลเล็กแผลน้อยอีกหลายต่อหลายครั้ง หากใครประสบกับปัญหาเดียวกันคงไม่แปลก หากเริ่มหมดความอดทน ในใจคงคิดว่าจะจัดการอย่างไรดี ระหว่างยกสุนัขอีกตัวไปให้คนอื่น แยกบริเวณกันเลี้ยงไปเลยแบบตลอดชีวิตนี้ไม่ต้องเจอหน้ากันอีก หรือปล่อยไปตามยถากรรมให้กัดกันไป เป็นแผลเมื่อไหร่ก็ค่อยพาไปหาหมอ ใจเย็น ๆ ก่อนนะครับ อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจหากคุณยังไม่เข้าใจสาเหตุว่าทำไมสุนัขในบ้านของคุณถึง ต้องทะเลาะกันเอง ผมมีคำแนะนำสำหรับแนวทางการปรองดองของสุนัขภายในบ้าน และเชื่อว่าน่าจะพอแก้ปัญหาได้หาก "สงคราม 4 ขา" ในบ้านของคุณยังไม่รุนแรงเกินไป
 
ชนวนสงคราม

           สุนัขเพศเดียวกันมีโอกาสที่จะทะเลาะกันได้มากกว่า โดยจะเริ่มเกิดปัญหาเมื่อสุนัขอายุได้ 6 ถึง 12 เดือน หรือเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น ปัญหาจะค่อยๆ รุนแรงขึ้นเมื่อสุนัขอายุ 1 ถึง 3 ปี หากยิ่งมีความสับสนเกี่ยวกับสถานภาพของสุนัขภายในบ้าน จากการที่มีสุนัขป่วย แก่ เสียชีวิต หรือหายไปจากบ้าน (เช่น ไปนอนโรงพยาบาล) เป็นระยะเวลานานๆ จะยิ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้สุนัขทะเลาะกันได้ง่ายขึ้นโดยปัจจัยกระตุ้น ในการกัดกันแต่ละครั้งมักมาจากอาหาร ของเล่น นม ความใกล้ชิดเจ้าของ การหวงพื้นที่ การอยู่ใกล้กันในพื้นที่แคบๆ หรือมีสุนัขตัวใดตัวหนึ่งอยู่ในสภาวะที่ตื่นเต้นมากเกินไป

           ลูกสุนัขที่ขาดการเรียนรู้การเข้าสังคม ในช่วงอายุ 3 ถึง 12 สัปดาห์ ไม่เคยเจอสุนัขตัวอื่นเลย มักแสดงความก้าวร้าวต่อสุนัขตัวอื่นได้ง่าย และมักหลบเลี่ยงที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับสุนัขตัวอื่น

 
5 ขั้นตอนในการแก้ไขปัญหา

           ขั้นที่ 1 : บันทึกไดอารี่ 4 ขา

           สิ่งแรกสุดที่อยากให้บ้านที่มีปัญหาสุนัขทะเลาะกันทำ คือให้เริ่มจดบันทึก ว่าสุนัขที่บ้านมักจะแสดงความก้าวร้าวใส่กันที่บริเวณไหน แสดงท่าทางและส่งเสียงอย่างไร สภาพแวดล้อมขณะนั้นเป็นอย่างไร อะไรเป็นปัจจัยกระตุ้นให้สุนัขกัดกันอาหาร กระดูก หรือมักทะเลาะกันเวลาที่ต้องขึ้นบันไดแคบ ๆ พร้อมกัน และเวลาที่กัดกันเป็นแค่ช่วงเวลาที่เจ้าของอยู่หรือทุกเวลา เช่น เจ้าของกลับบ้านมาก็เจอแผล เจอคราบเลือด คราบน้ำลายประโยชน์ที่ได้จากการบันทึก คือ คุณจะรู้ว่าสุนัขตัวไหนเป็นฝ่ายเริ่มก่อน เข้าใจสัญญาณเตือนของสุนัขก่อนที่จะกัดกัน เช่น การจ้องหน้า แยกเขี้ยว ขู่คำรามในคอ รวมถึงสามารถหลีกเลี่ยงปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมที่เป็นตัวกระตุ้นให้สุนัขกัด กันได้

           ขั้นที่ 2 : Safety first

           ความปลอดภัยเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดครับ เวลาที่สุนัขกัดกันหากเจ้าของพยายามเข้าไปแยกโดยตรงตอนจบคงหนีไม่พ้นต้องได้ แผลทั้งสุนัขและเจ้าของ เพราะสุนัขที่กำลังอยู่ในอารมณ์โมโหอาจกัดเจ้าของได้โดยไม่ตั้งใจ การแยกสุนัขกัดกันที่ปลอดภัยควรใช้การฉีดน้ำ กรณีสุนัขตัวเล็กอาจใช้วิธีโยนตะกร้าผ้าไปครอบสุนัขตัวใดตัวหนึ่งไว้ แต่วิธีการนี้อาจไม่ได้ผลกับสุนัขหลายๆ ตัว สุนัขที่กัดกันรุนแรงและกัดกันในช่วงเวลาที่เจ้าของไม่อยู่ควรแยกกันเลี้ยง ก่อน อย่าให้อยู่ด้วยกันโดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เจ้าของไม่สามารถดูแลได้การใส่ ตะกร้อครอบปากเป็นเรื่องจำเป็นในกรณีที่สุนัขมีปัญหากัดกันรุนแรงโดยเฉพาะใน ช่วงเวลาที่เราไม่อยู่บ้าน อีกทางเลือกในการควบคุมสุนัขที่ง่ายกว่าและสุนัขไม่รู้สึกอึดอัด คือ การใส่ Head Halter ซึ่งเป็นอุปกรณ์สำหรับบังคับทิศทางศีรษะของสุนัข สุนัขที่สวม Head Halter จะยังสามารถอ้าปากได้ กินอาหารได้ แต่เมื่อเจ้าของดึงสายจูง ปากของสุนัขจะถูกปิดทันที แล้วเราสามารถที่จะเบนหัวและคอของสุนัขไปทางไหนก็ได้ตามที่เราต้องการ โดยที่สุนัขไม่เกิดอันตราย

 
           Head Halter มีประโยชน์มากในการห้ามสุนัขที่กำลังจะทะเลาะกัน และในการฝึกเพื่อการปรับพฤติกรรมที่จะกล่าวถึงต่อไป ดังนั้นควรใส่ Head Halter และสายจูงไว้ทุกครั้งที่สุนัขต้องอยู่ด้วยกันนะครับ

           ข้อควรระวังอื่น ๆ ที่เจ้าของควรรู้ คือ เมื่อคุณกลับถึงบ้าน สุนัขมักอยู่ในสภาพที่ตื่นตัว ซึ่งอาจเหนี่ยวนำให้กัดกันได้ง่าย เจ้าของจึงควรทักทายสุนัขด้วยโทนเสียงต่ำ อย่าใช้โทนเสียงสูง เพราะจะยิ่งทำให้สุนัขตื่นเต้น และเจ้าของยังไม่ควรให้ความสนใจกับสุนัขทั้งสองตัว ควรรอให้สุนัขสงบลงก่อน หลีกเลี่ยงการให้ขนมที่น่ากินมากๆ หรือการให้หนังสัตว์สำหรับเคี้ยว ซึ่งมักจะกินไม่หมดในครั้งเดียว เพราะมักเป็นขนวนเหตุให้สุนัขกัดกันได้ยกเว้นในเวลาที่อยู่กับสุนัขแค่ตัวใด ตัวหนึ่ง หรือสุนัขแต่ละตัวอยู่ภายใต้สายจูง เจ้าของควรหลีกเลี่ยงการให้สุนัขอยู่ด้วยกันในสถานที่แคบๆ เช่น เดินผ่านประตู หรือขึ้นบันไดพร้อมกัน ยกเว้นอยู่ในสภาพที่มั่นใจว่าสามารถควบคุมได้

           ขั้นที่ 3 : บ้านนี้ใครใหญ่

           ก่อนปรับพฤติกรรมเจ้าของต้องทำความเข้าใจกับสังคมพื้นฐานของสุนัขก่อนครับ เพราะสังคมของสุนัขที่อยู่ร่วมกันหลายตัวในบ้านจะต้องมีสุนัขที่เป็นผู้นำ สภาพการเป็นผู้นำจะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามเวลาและสถานการณ์ที่แตกต่างกันไป ส่วนมากสุนัขที่ยังหนุ่มยังสาว สุนัขที่ตัวใหญ่ และมีสุขภาพแข็งแรงมักจะเป็นผู้นำ แต่ก็ไม่เสมอไป ดังนั้นเจ้าของต้องฝึกสังเกตพฤติกรรมและภาษาของสุนัขในบ้านด้วยว่าสุนัขตัว ไหนกันแน่ที่เป็นผู้นำ เพราะสาเหตุที่สุนัขในบ้านทะเลาะกันส่วนใหญ่มักมาจากสภาวะการเป็นผู้นำของ สุนัขในบ้านเกิดความสับสนตัวอย่างเช่น

 
           1. เจ้าของไปให้ความสนใจกับสุนัขตัวอื่นมากกว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าสุนัขที่เป็นผู้นำ : เจ้า ของมักเจอปัญหาว่าสุนัขกัดกัน เมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้าของ แต่หากเจ้าของไม่อยู่ กลับบ้านมาแทบไม่เคยพบบาดแผลหรือรอยเลือดเลย สาเหตุเพราะเมื่อเจ้าของให้ความสนใจไปดูแลสุนัขตัวอื่นในบ้าน สุนัขที่เป็นผู้นำมักอยากจะเข้าไปแทนที่เพื่อให้เจ้าของเล่นด้วยหรือแปรงขน ให้ อาจเริ่มจากใช้สายตาคุกคามและขู่สุนัขตัวนั้น เจ้าของมักไม่พอใจเมื่อสุนัขขู่การที่สุนัขที่เป็นผู้นำถูกดุหรือลงโทษยิ่ง เป็นการให้ท้ายสุนัขตัวที่ได้รับการดูแลจากเจ้าของ และเกิดการเรียนรู้ว่าตัวเองจะได้รับความสนใจเมื่อมีเจ้าของอยู่ ในขณะที่เวลาเจ้าของไม่อยู่สุนัขตัวนั้นก็จะยอมสุนัขที่เป็นผู้นำตามปกติ

           แก้ไข : เจ้าของต้องทำความเข้าใจใหม่ว่า โดยธรรมชาติสุนัขที่เป็นผู้นำต้องได้รับการดูแล และความสนใจมากกว่าสุนัขตัวอื่นเมื่อเค้าต้องการ ดังนั้นหากเรากำลังเล่นกับสุนัขตัวอื่นอยู่แล้วสุนัขที่เป็นผู้นำต้องการ เข้ามาแทนที่ อยากได้รับการดูแลจากเจ้าของบ้าง เราจำเป็นต้องเปลี่ยนมาให้ความสนใจสุนัขที่เป็นผู้นำแทน หรืออาจจะเดินหนีออกมาเลย การแก้ปัญหาที่ต้นเหตุจะได้ผลในกรณีที่เพิ่งเริ่มเกิดปัญหาครับ

 
           2. เกิดการท้าทายขึ้นในบ้าน เมื่อสุนัขตัวอื่นอยากขึ้นเป็นผู้นำ : สุนัข จะกัดกันไม่ว่าจะมีหรือไม่มีเจ้าของอยู่ก็ตาม พบบ่อยเมื่อลูกสุนัขโตขึ้นและตัวใหญ่กว่าสุนัขที่เป็นผู้นำเดิม เช่น ลูกเชาว์ เชาว์เริ่มเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นและตัวใหญ่กว่าสุนัขพูเดิลตัวเก่าที่บ้าน ปัญหาจะไม่เกิดหากสุนัขผู้นำเดิมอยู่ในสภาพที่ป่วยแก่มาก หรือเป็นสุนัขพันธุ์ที่ไม่ชอบการแข่งขัน เช่น บาสเซ็ตฮาวนด์ โดยสุนัขมักจะแสดงท่าทางยอมแพ้ โดยย่อตัว ลดหัวลงต่ำ หรือนอนหงายท้อง เมื่อสุนัขอีกตัวมาท้าทาย แต่หากสุนัขไม่ยอมแพ้และต้องการต่อสู้ด้วยจะแสดงออกโดยยกหางขึ้นและขนตั้ง ชัน สุนัขพันธุ์ขนเกรียนและหางสั้น เช่น บอสตัน เทอร์เรียร์จะมีปัญหาในการสื่อสารด้วยท่าทางนี้ ทำให้บางครั้งสุนัขที่มาท้าทายเข้าใจผิดว่าผู้นำเดิมไม่คิดจะสู้ด้วยและเกิด ปัญหาที่รุนแรงขึ้น

           แก้ไข : เจ้าของควรเลือกสุนัขที่แข็งแรงและไม่มีปัญหาพฤติกรรมเป็นผู้นำ ปรับพฤติกรรมโดยพาสุนัขทั้งสองตัวออกไปนอกบ้าน เพื่อลดปัญหาในเรื่องของการหวงพื้นที่ และให้อยู่ภาคใต้สายจูง ในระยะห่างที่สุนัขทั้งสองตัวจะไม่แสดงความก้าวร้าวเข้าใส่กัน สั่งให้สุนัขที่เป็นผู้ตามให้หมอบและคอย ในขณะที่สุนัขที่เป็นผู้นำให้อยู่ในท่าเดินตามสายจูง ค่อยๆ ขยับระยะห่างระหว่างสุนัขทั้งสองตัวให้เข้าหากันมากขึ้นทุกวัน และขยับเข้าใกล้บ้านมากขึ้นวันละนิด ในช่วงนอกเวลาฝึกควรแยกสุนัขทั้งสองตัวออกจากกันอย่างเด็ดขาด เมื่อฝึกสุนัขจนเข้ามาในตัวบ้านและสามารถให้สุนัขเดินผ่านหน้าสุนัขที่หมอบ ได้แล้ว ให้ลองปล่อยให้อยู่ด้วยกันและสังเกตพฤติกรรม สุนัขบางตัวอาจยอมให้ต่อเมื่อเจ้าของสั่งเท่านั้นและยังคงกัดกันอยู่ ซึ่งต้องหาวิธีการอื่นในการปรับพฤติกรรมแทน


ขั้นที่ 4 : ปรับพฤติกรรม

           สุนัขที่ได้รับการฝึกให้เชื่อฟังคำสั่งเป็นอย่างดี มักจะสามารถสั่งแยกสุนัขก่อนที่จะทะเลาะกัน โดยใช้คำสั่งเสียงหรือสัญญาณมือได้ แต่ก่อนอื่นต้องใส่สายจูงและ Head Halter ไว้ที่ตัวสุนัขก่อน และสุนัขต้องเรียนรู้คำสั่ง ดูเพื่อดึงความสนใจมาที่เราก่อนที่เจ้าของจะออกคำสั่งอื่น

           ขั้นตอนการฝึกคำสั่ง "ดู"

           1. สั่งให้สุนัข "นั่ง" หรือ "หมอบ" แล้วให้รางวัลในทันทีที่นั่ง
           2. ให้ถือขนมไว้ในมือ โดยเอาไว้ใกล้บริเวณดวงตาทันทีที่สุนัขจ้องมองที่ตาให้คุณให้ขนมในทันที
           3. ทำซ้ำจนสุนัขทำตามได้ดี แล้วจึงเพิ่มคำสั่งว่า ดูลงไป โดยพูดในทันทีที่สุนัขมองตา แล้วให้ขนมพร้อมกับคำชมเป็นรางวัล
           4. ในภายหลังลองสั่งว่า "ดู" โดยไม่ต้องใช้ขนมบ้างเป็นครั้งคราว แต่ให้ชมสุนัขทุกครั้งที่สุนัขทำตาม

           ในการควบคุมสุนัขที่แสดงอาการก้าวร้าวจะทำเมื่อสุนัขเริ่มขู่ หรือแยกเขี้ยว ให้เจ้าของยกสายจูงขึ้นเบาๆ แล้วสั่งให้สุนัข "นั่ง" สายจูงที่ยกขึ้นจะทำให้ Head Halter ปิดปากของสุนัขไปเองออกคำสั่ง "ดู" เพื่อให้สุนัขหันหน้ามามองเราแทน หรือค่อยๆ ดึงสายจูงไปทางด้านข้างให้หัวสุนัขหันหน้าไปทางอื่น เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า ไม่ให้จ้องตากับสุนัขคู่อริ ให้คำชมทุกครั้งด้วยน้ำเสียงราบเรียบและสงบ หรืออาจให้ขนมบ้างเป็นครั้งคราวเมื่อสุนัขดูผ่อนคลาย เพื่อให้สุนัขเกิดความรู้สึกดีที่จะสงบและไม่ทะเลาะกับตัวอื่น
 
          อย่างที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่าการที่สุนัขตื่นเต้นหรือตื่นตัวมากมักเป็นขนวนปัญหา ที่กระตุ้นให้สุนัขกัดกันได้ การฝึกให้สุนัขเรียนรู้ที่จะสงบจึงเป็นอีกเรื่องที่เจ้าของควรรู้

           อีกวิธีการในการบำบัดพฤติกรรมสุนัขให้รู้สึกเคยชินกับการอยู่ร่วมกัน คือ ให้สุนัขทั้งสองกินอาหารห่างกันในระยะที่จะไม่แสดงอาการก้าวร้าว ค่อยๆ เคลื่อนชามอาหารเข้ามาใกล้กันมากขึ้นวันละนิด หากสุนัขแสดงอาการก้าวร้าวให้รีบถอยชามอาหารออกอย่าลืมนะครับว่าในการฝึกทุก ครั้งต้องใส่สายจูงและ Head Halter การที่สุนัขได้รับอาหารในระยะที่อยู่ใกล้ๆ กัน (ไม่มากเกินไป) ถือเป็นการให้รางวัลและสร้างทัศนคติที่ดีเวลาที่สุนัขได้เจอกัน แต่ควรหลีกเลี่ยงใช้วิธีการนี้กับสุนัขที่มีความก้าวร้าวเนื่องจากการหวง อาหาร

 
           ขั้นที่ 5 : พบสัตวแพทย์

           สัตวแพทย์ใกล้บ้านท่านเป็นที่ปรึกษาที่ดีที่สุดเวลาที่สุนัขมีปัญหาพฤติกรรม ในบางครั้งความก้าวร้าวของสุนัขก็มาจากอาการเจ็บป่วย ปวดตามตัว ทำให้รู้สึกหงุดหงิดและก้าวร้าวการพาไปพบสัตวแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพและตรวจ เลือดจึงเป็นเรื่องจำเป็น สุนัขหลายตัวพบว่าความก้าวร้าวมีพื้นฐานมาจากปัญหาอื่น เช่น การหวงพื้นที่มากผิดปกติ ความกลัว หรือความรู้สึกกังวลใจกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง การแก้ปัญหาที่ตรงจุดเท่านั้นถึงจะแก้ปัญหาความก้าวร้าวในสุนัขกลุ่มนี้ได้ ซึ่งบางตัวอาจจำเป็นต้องใช้ยาร่วมในการรักษา ทั้งนี้ การทำหมันสุนัขเพศผู้เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการลดปัญหาสุนัขตัวผู้ทะเลาะกัน เองในบ้าน ลองปรึกษาสัตวแพทย์ใกล้บ้านท่านดูนะครับ แล้วพบกันใหม่เดือนหน้าสวัสดีครับ

เรื่องโดย : น.สพ.กมล ภาคย์ประเสริฐ
แหล่งที่มา  Dogazine Healthy, http://pet.kapook.com/view40630.html
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต



Thursday, May 8, 2014

ทำไมสุนัขถึงป่วนเวลาฝนตกฟ้าร้อง



          Q : อยากรู้จังเลยว่า ทำไมน้องหมาที่บ้านชอบหมุนรอบตัวเอง แล้วก็เห่าไร้สาระ เสียงดังลั่นเวลาฝนตกฟ้าร้อง จะแก้ไขอย่างไรดีคะ

          A : สุนัขบางตัวอาจมีนิสัยตกใจง่ายและมีความรู้สึกไวเป็นพิเศษ เวลาที่มีฝนตกฟ้าร้องเสียงดัง ทำให้แสดงพฤติกรรมกระวนกระวายวิ่งไปมา และร้องเห่าหอนเรื่อยเปื่อยได้ค่ะ ยิ่งถ้าสุนัขเกิดพฤติกรรมเช่นนี้ขณะยังเล็กแล้วเจ้าของรับมือผิดวิธี เช่น ปลอบใจหรือโอ๋สุนัขมากเกินไป หรืออาจตวาดเสียงดังให้เขาหยุดเห่าร้อง ก็อาจยิ่งทำให้สุนัขตกใจและแสดงอาการแปลก ๆ เหล่านี้ได้มากขึ้นค่ะ

 
          ทางแก้ที่ดีที่สุดก็คือ การฝึกสุนัขให้ชินกับเสียงดัง ๆ เวลาที่ฝนตกฟ้าร้อง โดยควรฝึกสอนตั้งแต่สุนัขยังเล็ก ๆ โดยแนะนำให้ใช้วิธีดึงความสนใจของสุนัขออกมาจากเสียงดัง เช่น ชวนสุนัขเล่นเกมฝึกให้ทำท่าต่าง ๆ เช่น นั่ง ให้มือ หมอบ คลาน ให้ขนมที่เขาชอบ หรืออาจให้เขาได้เพลิดเพลินกับของเล่นชิ้นโปรด เพื่อไม่ให้สุนัขสนใจจดจ่ออยู่กับเสียงฟ้าร้อง

          นอกจากนี้ เจ้าของเองก็ไม่ควรแสดงทีท่าว่ากลัวเสียงฟ้าร้องด้วย เพราะสุนัขสามารถเรียนรู้จากเจ้าของได้ หากว่าเจ้าของแสดงท่าทีตกใจหรือกลัว สุนัขก็จะยิ่งกลัวตามมากขึ้นด้วย

 
          ในกรณีที่ไม่สามารถฝึกสอนได้จริง ๆ และสุนัขเกิดความตื่นกลัวจนทำลายข้าวของหรือมีทีท่าที่เป็นอันตรายต่อตัวเองและเจ้าของ รวมถึงสุนัขตัวอื่น ๆ ในบ้าน คุณหมออาจจะจ่ายยาในกลุ่มระงับประสาทอ่อน ๆ มาให้เจ้าของติดบ้านไว้ เมื่อวันไหนมีเค้าว่าฝนกำลังจะตกหรือจะมีฟ้าร้องเสียงดัง เจ้าของอาจจะป้อนยาเหล่านี้ให้แก่สุนัขของท่านก็ได้ เพื่อช่วยไม่ให้เขาเกิดอาการตื่นตระหนกจนเกินไปค่ะ

เรื่องโดย สพ.ญ.พรวดี ยังสุขสถาพร
แหล่งที่มา  Dogazine, http://pet.kapook.com/view28018.html
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Tuesday, May 6, 2014

ข้อดีของการทำหมันสุนัข


        การทำหมันในสุนัขและแมว คือการตัดเอารังไข่และมดลูกออกในเพศเมีย และการเอาอัณฑะออกในเพศผู้  ซึ่งจะทำให้สัตว์ไม่มีฮอร์โมนเพศและหยุดพฤติกรรมเกี่ยวกับการสืบพันธุ์ได้ถาวร  สัตว์จะไม่สามารถมีลูกได้อีกเป็นการช่วยลดประชากรสุนัขและแมวไม่ให้มากล้นเมือง สามารถทำได้ตั้งแต่ก่อนเป็นหนุ่มสาว คือก่อนที่จะเข้าช่วงวัยสืบพันธุ์  (หรือคือก่อนจะมีประจำเดือนในตัวเมีย)

ข้อดีของการทำหมันในสุนัขตัวผู้

         
ลดโอกาสการเป็นโรคต่อมลูกหมากโต

         
ลดโอกาสการเป็นโรคไส้เลื่อนข้างก้น

         
ลดโอกาสการเป็นโรคเนื้องอกข้างก้น

         
อาจช่วยลดพฤติกรรมไม่พึงประสงค์บางอย่างในสุนัขบางตัว  เช่น  พฤติกรรมปัสสาวะไม่เป็นที่หรือถ่ายปัสสาวะบ่อยและเรี่ยราด, อาจลดความก้าวร้าวได้ในบางตัว
 


ข้อดีของการทำหมันในสุนัขเพศเมีย

         
ขจัดปัญหาการเป็นโรคมดลูกอักเสบ  ซึ่งเป็นโรคที่อันตรายมากมีข้อแทรกซ้อนยุ่งยากต่าง ๆ มากมาย

         
ลดโอกาสการเป็นโรคเนื้องอกเต้านม

ข้อแนะนำในการทำหมันสุนัข

         
ควรต้องมีการตรวจร่างกายและตรวจเลือดก่อน  เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมและลดความเสี่ยงในการวางยาและการผ่าตัด  สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือหลังการทำหมันสุนัขจะมีกิจกรรมลดลงเนื่องจากไม่มี ฮอร์โมนเพศ  จึงควรจัดให้สุนัขได้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพียงพอ  และควบคุมอาหารให้เหมาะสม  เพื่อลดโอกาสที่จะอ้วนตามมาได้


แหล่งที่มา  โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ, http://pet.kapook.com/view5595.html
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Monday, May 5, 2014

ทําไมสุนัขไม่ชอบถูกสัมผัสเท้า?



สุนัขมีอุ้งเท้าที่หนาและแข็งแรงมาก โดยเป็นเนื้อเยื่อคล้ายผิวหนังที่ด้านหนา ซึ่งอาจมีความหนาได้เกือบสองเซนติเมตร  ฉะนั้นจึงไม่น่าแปลกเลยว่าเหตุไฉนเราจึงเห็นสุนัขเดินเหินอย่างสบายใจบนพื้นผิวที่มนุษย์อย่างเราต้องเดินอย่างกระย่องกระแย่ง

แต่ส่วนประกอบอื่นๆ ของเท้าสุนัขนี่สิที่มีความอ่อนไหวต่อความรู้สึกมาก มากเสียจนสุนัขไม่อยากให้ใครมาสัมผัส ไม่ว่าจะเป็นสุนัขพันธุ์ไหนต่างต้องกระตุกเท้าหนีเมื่อเราไปแตะเท้าโดยเฉพาะบริเวณส่วนบนหรือระหว่างนิ้วเท้า

จะว่าไปแล้ว ประเด็นนี้คงไม่เป็นปมปัญหาอะไรหรอก หากสุนัขไม่จําเป็นต้องถูกตัดเล็บเป็นระยะๆ หรือ ต้องถูกตรวจเท้า หากรวด หาเสี้ยน สุนัขบางตัวอาจยอมให้จับเท้าได้แต่โดยดี แต่หลายตัวจะดิ้นสู้จนสุดชีวิต อย่ามายุ่งกับเท้าผม 

 ที่เป็นเช่นนี้ เนื่องจากส่วนบนของเท้าสุนัขเต็มไปด้วยปลายประสาทซึ่งอ่อนไหวมากต่อแรงกดที่อาจทําให้บาดเจ็บ จึงไม่แปลกที่สุนัขจะหดเท้าหนีเมื่อคุณสัมผัสส่วนบนของเท้า ยิ่งการสัมผัสบริเวณซอกนิ้วด้วยแล้ว ถือเป็นสิ่งต้องห้ามสําหรับสุนัขเลยทีเดียว ขณะที่การสัมผัสบริเวณใต้ฝ่าเท้า สุนัขมักจะไม่แสดงปฏิกิริยาต่อต้านออกมาอย่างฉับพลัน

เท้าของสุนัขมีความสําคัญอย่างยิ่งในชีวิตประจําวันเพราะสุนัขใช้เป็นเครื่องป้องกันตัวเอง ใช้ล่าสัตว์ ใช้เคลื่อนไหว และใช้ในการสื่อสาร

จําฝังใจ

เล็บเท้าของสุนัขมีความหนาและแข็งแรงมาก การตัดเล็บจึงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ยิ่งหากพลาดตัดไปถูกเนื้อละก็ สุนัขจะเจ็บและปวดมาก ตามปกติแล้วสุนัขจะจดจําแม่นมากกับสิ่งที่ทําให้บาดเจ็บ  ฉะนั้น คราวต่อไปเมื่อสุนัขเห็นกรรไกรตัดเล็บก็จะรีบหดเท้าหนีทันที

บางครั้งสุนัขอาจบาดเจ็บที่เท้าและต้องได้รับการทําแผลหรือการปฐมพยาบาล ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่แสนเจ็บปวด แล้วสุนัขก็จะจดจําฝังใจว่าการสัมผัสเท้าคือประสบการณ์ที่เลวร้ายและสุนัขจะหลบเลี่ยงสุดชีวิต

หนทางแก้ปัญหา

เบี่ยงเบนความสนใจของสุนัขเพื่อหยุดความกลัว
หลายคนสงสัยว่าสุนัขที่หวาดกลัวการถูกสัมผัสเท้าอย่างรุนแรงตอนอยู่บ้าน แต่กลับยอมให้ช่างแต่งขน ตัดเล็บ หรือสัตวแพทย์จับเท้า ทําโน่นทํานี่แต่โดยดี

เปล่า! ไม่ใช่เพราะพวกเขามีเวทมนตร์อะไรหรอก แต่เป็นเพราะว่าพวกเขาจับสุนัขขึ้นไปอยู่บนโต๊ะซึ่งมักทําจากสแตนเลส ด้วยความสูงผนวกกับพื้นผิวที่ลื่นและเย็นจึงทําให้สุนัขต้องคิดเรื่องความมั่นคงในการยืนบนโต๊ะมากกว่าจะคิดถึงเรื่องที่จะเกิดกับเท้าของตัวเองต่างหาก

คราวหน้าตอนอยู่บ้าน หากไม่มีโต๊ะสแตนเลสแบบที่ใช้ในคลินิกสัตวแพทย์ คุณอาจใช้เครื่องซักผ้ามาเป็นอุปกรณ์ช่วยในการตัดเล็บสุนัขก็ได้ ซึ่งจะได้ผลลัพธ์ไม่ต่างกัน แต่พึงระวังสุนัขตกจากที่สูงไว้ด้วย

หาเพื่อนมาช่วย
อีกเหตุผลหนึ่งที่สุนัขให้ความร่วมมืออย่างดีตอนอยู่คลินิกคือสุนัขไม่มั่นใจในสถานการณ์โดยรวม สุนัขเป็นสัตว์ที่ยึดมั่นในการปฏิบัติตัวที่เป็นกิจวัตรและการจัดลําดับชั้นอย่างยิ่งยวด แต่เมื่อออกนอกบ้าน สิ่งที่สุนัขยึดมั่นทั้งสองอย่างนี้จะถูกสั่นคลอน เมื่อสุนัขเกิดความไม่มั่นใจ การป้องกันตัวก็ลดน้อยลง การตัดเล็บหรือการตรวจเท้าจึงทําได้ง่ายขึ้น

ฉะนั้นคงเป็นเรื่องง่ายขึ้นหากคุณพาสุนัขไปตัดเล็บนอกบ้านหรือขอให้เพื่อนเป็นผู้ตัดให้

ฝึกบ่อยๆ
ตั้งแต่ยังเล็ก สุนัขจะปกป้องเท้าตัวเองตามธรรมชาติ แต่สามารถเรียนรู้ที่จะยอมรับการตัดเล็บและการตรวจเท้าได้เมื่อเจ้าของเริ่มตรวจเท้าสุนัขเป็นประจําตั้งแต่ยังเล็ก สัตวแพทย์แนะนําให้สัมผัส คลึงและจับเท้าสุนัขไว้สักชั่วอึดใจทุกวัน แล้วกดซอกนิ้วเบาๆ รวมทั้งบีบอุ้งเท้าด้วย ไม่นานสุนัขจะเคยชินกับการถูกสัมผัสเท้าและเห็นว่าไม่ใช่เป็นสิ่งที่สร้างความเจ็บปวด

ทําให้ชิน
สุนัขจะเครียดมากเมื่อรู้สึกไม่มั่นคงในชีวิต วัตถุที่คนมองข้ามอย่างกรรไกรตัดเล็บ จึงกลายเป็นสิ่งแปลกปลอมที่น่ากลัวได้ ทางแก้อย่างเร่งด่วนคือนํากรรไกรตัดเล็บไปวางไว้ในบริเวณที่สุนัขมองเห็นได้ เช่น บนโต๊ะเตี้ยๆ หรือบนชั้นวางหนังสือ 

อย่าแค่วางไว้ตอนที่คุณกําลังจะใช้เท่านั้น แต่ต้องวางไว้ตลอดเวลา เพื่อเปิดโอกาสให้สุนัขได้ดม มองดู และทําความคุ้นเคยกับมัน แม้สุนัขจะยังไม่เลิกอึดอัดใจเมื่อถูกตัดเล็บ แต่อย่างน้อยก็จะเครียดน้อยลงเมื่อเห็นกรรไกรอยู่ในมือคุณ

ตัดเล็บทีละเท้าสัปดาห์ละครั้ง
การตัดเล็บครบสี่เท้าในคราวเดียวกันมีโอกาสสูงที่จะเป็นประสบการณ์ที่น่าสะพรึงกลัวเพื่อเป็นการลดความกลัวและความเครียด สัตวแพทย์แนะนําให้ตัดเล็บเพียงหนึ่งนิ้วต่อวันเมื่อถึงสุดสัปดาห์คุณก็จะตัดเล็บครบหนึ่งเท้า

สุนัขมีความอดทนต่ำ การค่อยๆ ตัดทีละเล็บเช่นนี้จะช่วยให้คุณทํางานได้ง่ายขึ้น

ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต