Showing posts with label การดูแลสุนัข. Show all posts
Showing posts with label การดูแลสุนัข. Show all posts

Saturday, January 3, 2015

การหอบของน้องหมามีประโยชน์อย่างไร?




         ในยามที่เราร้อนมากจนเหงื่อไหลไคลย้อย เรายังสามารถยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับเหงื่อได้ แล้วเคยนึกสงสัยบ้างไหมคะ ว่ายามที่น้องหมาของเราร้อน เขาจะทำอย่างไรกันบ้าง แน่นอนว่าต่อให้เจ้าสี่ขาของคุณจะแสนรู้ขนาดไหน มันก็คงไม่เอาหน้าไปถูไถกับผ้าเพื่อซับเหงื่อเป็นแน่ เพราะที่จริงแล้ว สุนัขมีต่อมเหงื่ออยู่น้อยมาก ๆ  เมื่อเทียบกับคนเรา มันจึงไม่ได้อาศัยการขับน้ำออกมาเป็นเหงื่อ เพื่อพาความร้อนออกจากร่างกายหรอกนะคะ แต่สิ่งที่มันทำก็คือการ "หอบ" ต่างหากค่ะ

          ในวันที่อากาศร้อนแดดแรง ใครที่สังเกตเห็นเจ้าตูบของตัวเองหอบบ่อย ๆ ถี่ ๆ ไม่ต้องตกใจไปนะคะ เพราะการหอบนั้นเป็นกลไกเพื่อคลายความร้อนของเขานั่นเอง แม้ว่าเจ้าตูบจะมีต่อมเหงื่ออยู่ที่อุ้งเท้า และบริเวณผิวหนังซึ่งไม่มีขนปกคลุม แต่ก็นับเป็นพื้นผิวที่น้อยมาก ๆ เมื่อเทียบสัดส่วนกับขนาดของร่างกาย มันจึงไม่สามารถอาศัยการขับเหงื่อออกมาตามทางเหล่านี้เป็นหนทางหลักในการคลายความร้อนให้กับร่างกาย ดังนั้น เจ้าสี่ขาของเราจึงอาศัยวิธีการหอบหายใจแทนค่ะ 

 
          สำหรับการหอบของเจ้าตูบจะเป็นการหายใจเข้าออกสั้น ๆ และถี่มาก ในนาทีหนึ่งเจ้าตูบจะหอบหายใจได้ถึง 300-400 ครั้งเลยทีเดียว (ในขณะที่อัตราการหายใจปกติของมันอยู่ที่ 30-40 ครั้ง/นาที) การหายใจสั้น ๆ ของเจ้าตูบจะช่วยเร่งให้เกิดความชื้นที่ลิ้น ในช่องปาก และตามทางเดินหายใจของมัน  ระเหยกลายเป็นไอ อันจะช่วยพาความร้อนในร่างกายออกไปได้ด้วย นี่จึงกลายเป็นวิธีหลักที่มันใช้เพื่อระบายความร้อนออกจากร่างกายนั่นเอง

          ฟังดูแล้วอาจจะยังนึกสงสัยต่อไปว่า .. เอ ถ้าหอบบ่อยและถี่ขนาดนี้ เจ้าตูบจะไม่เหนื่อยบ้างหรือไงนะ คำตอบก็คือ "ไม่หรอกค่ะ" เพราะปอดและทางเดินหายใจของเจ้าตูบค่อนข้างมีความยืดหยุ่นสูง การหอบของมันไม่ได้เผาผลาญพลังงานไปเท่าไหร่เลย เจ้าตูบจึงไม่รู้สึกเหนื่อยใด ๆ กับการระบายความร้อนแบบนี้นะคะ .. เพราะฉะนั้นหมดกังวลได้เลยจ้า


ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Wednesday, November 5, 2014

ชี้ สัตว์เลี้ยง อายุมาก เสี่ยงเป็น มะเร็ง




        สัตว์เลี้ยงก็มีความเสี่ยงป่วยเป็นโรคมะเร็งเหมือนมนุษย์ โดยเฉพาะยิ่งอายุมากขึ้น แนะเจ้าของหมั่นสังเกตความผิดปกติ

          รศ.สพ.ญ.ดร.อัจฉริยา ไศละสูต หัวหน้าภาควิชาพยาธิวิทยา คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวบนเวทีเสวนาเรื่อง "ความก้าวหน้าในการวินิจฉัยมะเร็งในสัตว์เลี้ยง" ในงาน "เปิดโลกบัณฑิตศึกษา 2552" ภายในอาคารจามจุรีสแควร์ ว่า ปัจจุบันพบโรคมะเร็งในสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะสุนัขและแมวเพิ่มขึ้น สาเหตุมาจากการที่เจ้าของดูแลเอาใจใส่สัตว์เลี้ยงของตัวเอง ทำให้มีอายุยืน ส่งผลให้เกิดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งได้เช่นเดียวกับในคน เพราะโรคมะเร็งเกิดขึ้นในกลุ่มที่มีอายุมากในสัตว์พบช่วงอายุ 6-7 ปี เทียบกับคนช่วงอายุ 50-60 ปี


          สาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงเซลล์ภายในร่างกาย รวมถึงสภาพแวดล้อมที่สัตว์อาศัย เช่น อยู่ในพื้นที่แหล่งกำเนิดกัมมันตภาพรังสี หรือในสถานที่ที่มีฝุ่นควัน รวมถึงอาหารที่ประกอบด้วยสารต้านอนุมูลอิสระจะไปส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เนื้อเยื่อ

          "มะเร็งที่พบมากที่สุดในสัตว์ ได้แก่ มะเร็งผิวหนัง และมะเร็งเต้านม การรักษาโรคมะเร็งในสัตว์พบว่าแพทย์ที่รักษาเฉพาะทางในไทยยังมีจำนวนไม่มาก ประกอบกับค่ารักษาค่อนข้างราคาสูง และไม่รับประกันว่าจะหายขาดหรือไม่ เพราะเป็นโรคที่ติดต่อทางพันธุกรรม" รศ.สพ.ญ.ดร.อัจฉริยา ระบุ

 
          ส่วนข้อสังเกตดูว่าสัตว์เลี้ยงอาจเป็นโรคมะเร็งหรือไม่ เจ้าของทำได้ด้วยการหมั่นคลำลำตัวสัตว์เลี้ยงหากพบก้อนเนื้อ เม็ดหูด หรือไฝ รวมถึงเมื่อสัตว์มีบาดแผลแล้วเรื้อรัง เลือดออกไม่หยุด ให้รีบนำไปหาสัตวแพทย์เพื่อตรวจสอบ บางตัวอาจไม่แสดงอาการ แต่มีข้อสังเกต เช่น เบื่ออาหารหรือน้ำมูกไหล อย่างไรก็ตาม มะเร็งในสัตว์ไม่สามารถติดต่อไปยังผู้เลี้ยงหรือมนุษย์ อย่างไรก็ตาม มะเร็งในสัตว์ไม่สามารถติดต่อไปยังผู้เลี้ยงหรือมนุษย์

แหล่งที่มา  ข่าวสด, http://pet.kapook.com/view6843.html
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Wednesday, October 29, 2014

เคล็ดลับทำความสะอาดบ้านของคนรักสัตว์เลี้ยง


       น้องหมาแมวสมาชิกแสนรักในครอบครัว ที่คุณเลี้ยงเอาไว้ในบ้าน สร้างปัญหากวนใจเรื่องสิ่งสกปรกให้คุณปวดขมับแต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อน้อง หมาแมวไม่สามารถทำความสะอาดร่องรอยเหล่านั้นด้วยตัวเองได้สะอาดหมดจดอย่า ให้เรื่องกวนใจเล็กน้อยมาทำให้ความรักของคุณกับสัตว์เลี้ยงน้อยลง my home มีเคล็ดลับทำความสะอาดบ้านผูกมิตรเจ้าของและสัตว์เลี้ยงมาฝากกันค่ะ
 

ขนสัตว์เลี้ยงบนเฟอร์นิเจอร์ (ขนสัตว์เลี้ยงมีไฟฟ้าสถิตทำให้เกาะติดพื้นผิวต่าง ๆ)

เฟอร์นิเจอร์ไม้

          พ่นน้ำยาขัดเงาเฟอร์นิเจอร์หรือสเปรย์กำจัดฝุ่นที่ป้องกันไฟฟ้าสถิต บนผ้าฝ้าย เช็ดบนเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ ช่วยทำให้ขนสัตว์เลี้ยงหลุดออกได้ง่าย

เฟอร์นิเจอร์หุ้มเบาะหรือผ้าปูที่นอน

          สวมถุงมือยางที่เปียกน้ำหมาดๆ ถูไปมา บนพื้นผิว ขนสัตว์จะเกาะติดถุงมือออกมา

 
คราบและกลิ่นปัสสาวะ อุจจาระของสัตว์เลี้ยง

          ถ้าสัตว์เลี้ยงปล่อยของเสียออกมาใหม่ให้รีบทำความสะอาดด้วยกระดาษทิชชู ให้ได้มากที่สุดทันทีเพื่อป้องกันไม่ให้สิ่งสกปรกกระจายเป็นวงกว้างและฝัง ลึกในพื้นผิว

          เช็ดด้วยน้ำเปล่า 1 ครั้ง จากนั้นใช้น้ำส้มสายชู 3 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำยาล้างจาน 1 ช้อนชาถูบริเวณรอยเปื้อนแล้วเช็ดด้วยน้ำเปล่าอีก ครั้งและเป่าลมให้แห้งในทันที ความเป็นกรดของน้ำส้มสายชูจะช่วยกำจัดกลิ่นสกปรก

 
          หรือเพิ่มความมั่นใจในการกำจัดกลิ่นด้วยการโรยผงเบกกิ้งโซดาบนพื้นผิวแล้ว ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ทำความสะอาดอีกครั้งแต่ต้องมั่นใจว่าไม่มีส่วนผสมของแอมโมเนียเพราะในปัสสาวะของน้องหมาแมวก็มี แอมโมเนียผสมอยู่ อาจทำให้เขาสับสนและกลับมาปัสสาวะซ้ำรอยเดิมอีกครั้ง


เรื่อง : อรพรรณ วัจนะเสถียรกุล
แหล่งที่มา  my home, http://home.kapook.com/view102358.html
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Friday, August 29, 2014

แปรงขนน้องหมายังไงให้ถูกวิธี




      การแปรงขนหรือหวีขนให้สุนัข เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยทำให้สุนัขของเราดูมีสุขภาพดี มีผู้เลี้ยงสุนัขหลายคนเข้าใจผิดว่า การแปรงขนหรือหวีขนให้สุนัข สามารถทำได้กับสุนัขที่มีขนยาวเท่านั้น 

     แต่จริงๆ แล้วสุนัขทุกพันธุ์ต้องการการแปรงหรือหวีขนเหมือนกัน เพราะเวลาที่เราแปลงขนให้สุนัขนอกจากจะทำให้ขนของสุนัขสวย ไม่พันกันแล้ว ยังเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยทำความสะอาดขนสุนัขให้สะอาดได้

     เพราะะเวลาเราแปรงขน สิ่งสกปรกจะถูกกำจัดออกมารวมทั้งบรรดาขนเก่า ที่หลุดออกมา นอกจากนั้นผิวหนังที่ได้รับการ กระตุ้นจากการ หวีหรือแปรงก็จะขับน้ำมันมาเคลือบขนสุนัขทำให้ขนนุ่ม และเป็นเงางาม โดยที่เราไม่ต้องเสียเงินไปซื้ออาหารเสริมมาให้สุนัขกินเลยล่ะค่ะ
ปัญหาอย่างหนึ่งเวลาที่เราต้องการหวีขนให้สุนัขก็คือ เขาจะไม่ชอบและไม่ค่อยยอมให้เราหวีขนให้สักเท่าไหร่ ดังนั้นทางที่ดีเราควรจะฝึกหวีขนให้สุนัขของเราตั้งแต่เริ่มนำมาเลี้ยง เพื่อที่จะให้เขาเคยชิน และยอมที่จะให้เราหวีขนเสริมสวยได้แต่โดยดี

     แต่ก่อนที่เราจะแปรงหรือหวีขนให้สุนัข สิ่งที่เราต้องรู้ก่อนก็คือ วิธีการเลือกหวีที่เหมาะกับสุนัขของเรา ...

 
เลือกแปรงยังไงให้เหมาะกับสุนัขของเรา?

- แปรงขนลวด หรือ สลิคเกอร์ (Slicker Brush) ใช้สางขนที่พันเป็นกระจุกหรือตีขนฟู เหมาะสำหรับสุนัขขนหยิกหนาฟู เช่น พูเดิ้ล บิชอง ปอม ฯลฯ

- แปรงหมุด (Pin Brush) สำหรับแปรงขนเป็นประจำทุกวัน ควรเลือกใช้ชนิดที่หัวหมุดหล่อเป็นชิ้นเดียวกับซี่แปรง หรือชนิดไม่มีหมุดปลายซี่แปรงโค้งมน เพื่อป้องกันการดึงขนขาด เหมาะสำหรับสุนัขทุกสายพันธุ์ หรือสุนัขขนยาว เช่น ชิสุ มอลทีส คอลลี่ ฯลฯ     
 
- แปรงขนหมู (Bristle Brush) สำหรับสุนัขขนสั้น หรือใช้นวดผิวสุนัขขนยาวก็ได้

 
... หวีขนให้น้องหมาเป็นประจำทุกวันเพื่อสุขภาพขนและผิวหนังที่ดี และที่สำคัญเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาขนพันกันจนเป็นสังกะตังซึ่งจะทำให้ เกิดโรคผิวหนังอักเสบได้ค่ะ 


บทความโดย:  Dogilike.com  
ข้อมูลอ้างอิง: http://www.hairofthedogsalon.co.uk/
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Saturday, August 16, 2014

7 สิ่งดีๆ ที่ผู้เลี้ยงน้องหมา ไม่ควรมองข้าม




สำหรับผู้เลี้ยงเจ้าตัวน้อยสี่ขาไม่ว่าจะเป็นน้องหมาหรือแมว  การดูแลเอาใจใส่สุขภาพสัตว์เลี้ยงของคุณถือเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนที่ไม่ควรละเลย วิธีที่คุณจะสามารถดูแลเจ้าสี่ขาให้สุขภาพดีสดใส ร่าเริง ปราดเปรียว ห่างไกลโรคต่างๆ นั้นมีวิธีดูแลที่คุณไม่ควรลืมและทำเป็นประจำ  ดังนี้

1.  เช็ดหู  (Ear Clean)
ข้างในหูจะมีสารเคลือบที่คล้ายขี้ผึ้งอยู่ เรียกว่า “Ear Wax” ถ้ามีสะสมมากเกินไปก็อาจทำให้เกิดไรในหู  และอาจเกิดอาการคัน  สำหรับการทำความสะอาดควรทำเป็นประจำ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง นอกจากจะทำให้หูสะอาดแล้วยังช่วยลดภาวะหูอักเสบได้อีกด้วย

2. แปรงฟัน (Brush Teeth)
ในระยะยาวหินปูนสามารถส่งผลให้เกิดการอักเสบของไต และกล้ามเนื้อหัวใจ และการแปรงฟันก็เป็นวิธีที่ง่ายที่สุด ที่จะช่วยลดคราบ Plaque ซึ่งเป็นปัจจัยในการเกิดหินปูน อีกทั้งยังเป็นการช่วยลดการเกิดกลิ่นปาก สำหรับการแปรงฟัน เราควรแปรงให้เป็นประจำอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง

 
3. บีบต่อมก้น (Anal Gland)
ต่อมก้น เป็นถุงที่อยู่ข้างๆ ก้นของสุนัขและแมว  มีไว้เก็บสารคัดหลั่ง ปกติแล้วสุนัขหรือแมวจะปล่อยสารคัดหลั่งปนออกมาตอนถ่ายอุจจาระ แต่ก็มีสุนัขหรือแมวหลายตัวที่มีการสะสมไว้จนกระทั่งเกิดการอักเสบและกลายเป็น ฝีดังนั้นเราจึงควรทำการตรวจและบีบต่อมก้นอย่างน้อยเดือนละ1-2 ครั้ง

4.  ตัดเล็บ (Nail Cut)
เล็บเป็นแหล่งที่สะสมเชื้อโรคได้ง่าย แถมยังทำให้เดินไม่ถนัดและอาจลื่นล้มได้เพราะฉะนั้นเราควรหมั่นตรวจ และตัดเล็บอย่างสม่ำเสมอ ทุกๆ 1 - 2  เดือน

 
5. กำจัดเห็บหมัด (Tick & Flea Prevention) 
ตัวเล็กๆ แต่กวนใจทั้งเจ้าของและสัตว์เลี้ยง พิษสงเหลือร้าย ทั้งดูดเลือด ทั้งเป็นพาหะนำโรคพยาธิเม็ดเลือดที่ทำให้สัตว์เลี้ยงย่ำแย่ เห็นทีต้องกำจัดให้อยู่หมัด โดยใช้ยาป้องกันหยดให้ที่หลัง เดือนละ 1 ครั้ง

6. ป้องกันพยาธิหัวใจ (Heartworm Prevention)
พยาธิหนอนหัวใจ เป็นพยาธิตัวกลมที่มี ยุงเป็นพาหะและมีตัวอ่อน 5 ระยะ ตัวเต็มวัยของพยาธิหนอนหัวใจ จะอาศัยอยู่ในหัวใจห้องล่างขวา สัตว์เลี้ยงที่มีพยาธิหนอนหัวใจจะมีอาการไอแห้งๆ เหนื่อยง่าย ถ้าเป็นมากๆ ตับกับม้ามจะโตท้องกาง ถ้าเป็นหนักอาจถึงขั้นหัวใจล้มเหลว ดังนั้นเจ้าของควรป้องกันเป็นประจำโดยการให้ยาเดือนละ 1 ครั้ง

 
7. ฉีดวัคซีน (Vaccine)
ต้องได้รับการฉีดกระตุ้นเป็นประจำทุกปีอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นวัคซีนรวม 5 โรค (ไข้หัด, ลำไส้อักเสบ, ตับอักเสบ, หลอดลมอักเสบ, ฉี่หนู) และวัคซีนพิษสุนัขบ้า เพราะนอกจากจะป้องกันตัวสัตว์เลี้ยงแล้ว ยังเป็นการป้องกันการติดมาสู่คน

ขอบคุณบทความ
http://www.farmthaionline.com/
ที่มา : โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ, http://www.ชิบะอินุ.com


ภาพประกอบ : อินเตอร์เน็ต