Saturday, August 17, 2013

ทำอย่างไร....เมื่อสุนัขไม่ยอมดื่มน้ำ





สุนัขก็เหมือนกับคนเรานั่นแหละ จำเป็นต้องดื่มน้ำทุก ๆ วัน มันอาจเกิดอาการสูญเสียน้ำในร่างกายถ้ามันดื่มน้ำไม่พอหรือไม่ชอบดื่มน้ำ ความเป็นจริงที่ต้องจดจำคือ สุนัขส่วนใหญ่มีความเสี่ยงในการเกิดอาการสูญเสียหรือขาดน้ำในร่างกายโดยเฉพาะในประเทศแถบร้อนอย่างประเทศไทย (อากาศร้อนเหลือเกิน) แม้ในประเทศอเมริกาเองก็ตาม ในปัจจุบันสุนัขตายเพราะเกิดอาการฮีทสโตรกเยอะมาก โดยเฉพาะในปีนี้ สุนัขมักเกิดอาการสูญเสียน้ำได้ง่ายกว่าคนเรา เพราะว่าพวกมันไม่มีต่อมเหงื่อที่ระบายความร้อนออกจากร่างกาย พวกมันระบายความร้อนในร่างกายทางปาก จมูก และ อุ้งเท้า ถ้าสุนัขของคุณไม่ชอบดื่มน้ำหรือดื่มน้ำน้อยเกินไป คุณควรจะต้องใส่ใจพวกมันหน่อยนะครับ

มีหลากหลายเหตุผลที่สุนัขไม่ชอบดื่มน้ำหรือดื่มน้ำน้อยเกินไป สาเหตุหลัก ๆ ที่พบ คือ 

1)  เราเปลี่ยนภาชนะใส่น้ำหรือเปลี่ยนสถานที่ให้น้ำ คุณควรจะให้น้ำดื่มกับสุนัขของคุณในที่ประจำของมัน เช่นในกรง หรือ ตามมุมใดมุมหนึ่งเป็นประจำ 

2)  น้ำอาจจะมีกลิ่นที่แปลกแตกต่างจากที่เคยดื่ม จำไว้ว่าสุนัขมีประสาทสัมผัสทางการรับรู้กลิ่นได้ดีกว่ามนุษย์เราเป็นพัน ๆ เท่า 

3)  สุนัขที่อายุมากขึ้นอาจจะดื่มน้ำน้อยลง เนื่องจากพวกมันเคลื่อนไหวตัวน้อยลง ช้าลง การกระหาย
น้ำก็เกิดขึ้นน้อยลงด้วย หรือมันอาจเกิดจากการที่คุณเปลี่ยนอาหารจากอาหารเม็ด (แห้ง) ที่แข็งมาเป็นอาหารกระป๋องที่มีลักษณะนิ่มเพื่อช่วยให้มันเคี้ยวอาหารได้ง่ายขึ้น อาหารเหล่านั้นมีน้ำเป็นส่วนประกอบอยู่แล้ว ดังนั้นปริมาณการดื่มน้ำก็น้อยตามไปด้วย

4)  สุดท้ายถ้าสุนัขของคุณดื่มน้ำน้อยหรือไม่ยอมดื่มน้ำ คุณควรจะต้องตรวจสอบดูที่ปากของสุนัขว่ามีอะไรเกิดขึ้นหรือป่าว!!! มีแผลในช่องปาก ปวดฟัน ฟันผุ หรือ เหงือกอักเสบ อะป่าว ไม่สบายอะป่าว ถ้าไม่มีปัญหาใด ๆ ที่บ่งบอกว่าสุนัขของคุณไม่ได้ไม่สบาย คุณอาจจะต้องเพิ่มปริมาณน้ำเข้าไปในอาหารเพื่อชดเชยการขาดน้ำ แต่ถ้าคุณไม่สามารถตรวจเช็คได้ด้วยตนเองก็ลองปรึกษาสัตวแพทย์ดู ถ้ายังไม่ยอมดื่มน้ำหรือดื่มน้ำน้อยอีกในวันที่อากาศร้อนอบอ้าวเสียเหลือเกินก็รีบปรึกษาสัตวแพทย์ดูอีกที  

วิธีง่าย ๆ ในการให้สุนัขของคุณดื่มน้ำ

1. ลองเปลี่ยนจากน้ำเปล่า เป็น น้ำผสม... ไม่ว่าจะเป็น น้ำผสมน้ำหวาน น้ำซุป หรือน้ำนม น้ำเย็น ลองดู เผื่อจะช่วยได้
 
2. ลองพาเดินให้นานขึ้น ออกกำลังกายให้มากขึ้น
 
3. ให้อาบแดดช่วงเช้าซะ 20 - 30 นาที

ถ้ายังไม่ยอมกินน้ำอีกคราวนี้ต้องใช้วิธีโหดๆ หน่อย

วิธีที่ 1 เป็นการล่อให้กิน

   1. เตรียมน้ำสะอาดใส่ในชามหรือถาดใส่น้ำ
     
   2. จับหมาของคุณนั่งบนตักหรือนั่งข้าง ๆ คุณข้าง ๆ ถาดใส่น้ำ
     
   3. ตักน้ำใส่บนฝ่ามือของคุณ

   4. เอาน้ำป้อนใส่ปากสุนัข ถ้ามันไม่ยอมกินก็ให้เอาเทใส่บริเวณรอบ ๆ ปาก

   5. สร้างความสนใจโดยเอาถาดใส่น้ำเข้าไปใกล้ ๆ จมูกมัน

วิธีที่ 2. เป็นการบังคับ
 
      1. เตรียมไซลิงค์ให้พร้อม เอาน้ำสะอาดดูดใส่ไซลิงค์

      2. จับสุนัขของคุณไว้ให้แน่น ๆ จากนั้นฉีดน้ำเข้าไปที่ปากของมันเลย

      3. สุนัขจะกลืนน้ำโดยอัตโนมัติเพราะพวกมันคายไม่เป็น

การดื่มน้ำน้อยเกินไป คุณควรที่จะต้อง

    * ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้กับพวกมันโดยทุกครั้งที่มันดื่มน้ำให้คุณชมมันและให้ขนมพวกมัน
 
    * วางแผนให้พวกมันกินน้ำให้เยอะขึ้นโดยวางน้ำใกล้ ๆ ที่มันอยู่ไม่ว่าจะเป็นในกรง วางน้ำใกล้กับชามอาหาร ในทุก ๆ ที่ที่มันอยู่ต้องมีน้ำ
 
    * เพิ่มรสชาดในน้ำดื่ม เช่น ใส่น้ำหวาน ผงซุปไก่ ซุปหมู เพื่อเพิ่มรสชาดให้กับน้ำ


แหล่งที่มา  http://www.dogfunpark.com/forum/index.php?topic=129.0

Friday, August 16, 2013

โรคอ้วนในสุนัข



ใน ปัจจุบันผู้เลี้ยงสุนัขและแมวมักนิยมที่จะเลี้ยงสัตว์ของตัวเองด้วยอาหาร สำเร็จรูป เพราะมีความสะดวก น่ากินอีกทั้งยังมีสารอาหารจำเป็นครบถ้วน แต่การเลือกชนิดของอาหารสำเร็จรูปผิดสูตร ผิดเวลาและผิดขนาดอาจส่งผลเสียต่อการเจริญเติบโตในสัตว์เลี้ยง ถ้าท่านไม่มีความรู้และความเอาใจใส่ในเรื่องนี้อย่างถูกต้อง 
 
โรคอ้วน เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่พบบ่อยในสุนัขและแมว โดยเฉพาะในขณะช่วงอายุกลางวัยจะพบมากกว่าในช่วงเด็กหรือช่วงแก่ 

ความอ้วนคืออะไรและเกิดจากอะไร
ความอ้วนคือภาวะที่ร่างกายมีการสะสมของไขมันที่เนื้อเยื่อไขมันมากเกินไป ทำให้มีน้ำหนักตัวเพิ่มมากกว่าน้ำหนักปกติ 15-20%

นอกจากนี้ความอ้วนทำให้มีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคกระดูกและข้อต่างๆ เป็นต้น 

ปัญหาพื้นฐานของความอ้วน มี 2 แบบ คือ 

๑ การเพิ่มขนาดเซลไขมันในร่างกาย ( Hypertropic Obesity )
๒ การเพิ่มทั้งขนาดเซลและจำนวนของเซลไขมันในร่างกาย ( Hyperplastic Obesity) 

ความอ้วนในสัตว์ที่เกิดจากสาเหตุ Hyperplastic Obesity จะเป็นการยากที่จะแก้ไขและมักเป็นปัญหาในระยะยาวต่อไป ดังนั้นในสัตว์ที่ได้รับอาหารมากเกินไป จะมีผลเพิ่มขนาดของเซลไขมันแต่จะไม่เพิ่มจำนวนเซล ดังนั้นการแก้ไขสูตรอาหารที่ให้กินจึงสามารถปรับลดน้ำหนักตัวได้ 


ปัจจัยสำคัญที่ทำให้อ้วน 

๑ ปัจจัยภายในร่างกาย ได้แก่อายุ เพศ ภาวะของระบบสืบพันธุ์ ความมีอยู่หรือความผิดปกติของระดับฮอร์โมนในร่างกาย หรือความผิดปกติของต่อมใต้สมอง หรือภาวะทางพันธุกรรม

๒ ปัจจัยภายนอก ได้แก่ อิทธิพลในการกินอาหาร ส่วนประกอบของอาหารที่กินอยู่ อาหารที่กินอยู่มีความน่าจะกินสูง กิจวัตรประจำวันของสัตว์ตัวนั้น
 
ส่วนมากแล้วปัจจัยที่ทำให้เกิดความอ้วน คือ การที่เจ้าของให้สัตว์กินอาหารมากเกินไป การขาดการออกกำลังกาย หรือทั้งสองอย่าง

ในส่วนของปัจจัยที่ทำให้อ้วนจากสาเหตุภายในร่างกาย เช่น

•  การลดลงของการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย ( Resting Metabolic Rate, RMR)
•  ความผิดปกติของต่อมไร้ท่อทำให้เกิดภาวะของ Hypothyroidism หรือ Hyperadrenocorticism
•  ผลมาจากการทำหมัน โดยเฉพาะการทำหมันในช่วงอายุน้อย ระหว่างอายุ 6-12 เดือน
•  ความแก่ สุนัขที่อายุเกิน 7 ปีขึ้นไป จะลดการใช้พลังงานอย่างน้อย 20% จากในวัยเด็ก ดังนั้นถ้าเรายังคงให้กินสูตรอาหารเช่นเดิม สุนัขจะมีไขมันสะสมมากขึ้น ทำให้เกิดปัญหาความอ้วนตามมา
•  สาเหตุทางพันธุกรรม ในสุนัขบางพันธุ์ เช่น คอกเกอร์ ลาบาดอร์ เทอร์เรีย มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคอ้วนเมื่ออายุมากขึ้น ในขณะที่พันธุ์บอกเซอร์ ฟอก เทอร์เรีย ยอร์กเชีย เทอร์เรีย มีโอกาสน้อยที่จะอ้วน เป็นต้น

การวินิจฉัย
•  มีความจำเป็นที่จะต้องนำไปให้สัตวแพทย์ตรวจว่าสัตว์ของท่านอ้วนจริงๆ ไม่ใช่การเกิดภาวะบวมน้ำ หรือภาวะความผิดปกติของต่อมไร้ท่อต่างๆ โดยอาศัยผลการตรวจเลือดหรือการเอกเรย์ประกอบในการวินิจฉัย
•  พิจารณาจาก Assessment of body condition เช่น Thin, underweight, Ideal, Overweight , Obese

ภาวะ Obese คือ ภาวะที่ไม่สามารถคลำพบกระดูกซี่โครงที่ปกคลุมไปด้วยกล้ามเนื้อและไขมันใน บริเวณนั้น ไขมันที่สะสมสามารถเห็นได้ในบริเวณส่วนบั้นเอวหรือบริเวณโคนหาง ไม่สามารถเห็นส่วนโค้งในบริเวณเอว บริเวณหน้าท้องมักจะกางออกหรือขยายใหญ่ 



การแก้ไข
ในระยะสั้นคือการลดปริมาณไขมันในร่างกาย โดยการจำกัดปริมาณอาหารที่กินเข้าไป และการทำให้เกิดพลังงานในร่างกายให้เกิดการเผาผลาญมากขึ้น ส่วนในระยะยาวคือการควบคุมไม่ให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น

ส่วนประกอบสำคัญในการควบคุมน้ำหนักตัว
•  การควบคุมพฤติกรรมทั้งผู้เลี้ยงและตัวสัตว์ ( behavior modification ) เช่น การควบคุมพฤติกรรมการกินอาหารในสัตว์ และโดยเจ้าของสัตว์โดยการลดจำนวนมื้ออาหาร และการลดปริมาณอาหารจากที่กินอยู่เดิม เป็นต้น
•  การควบคุมอาหาร ( Dietary modification ) เช่น การเลือกใช้อาหารในสูตรลดน้ำหนัก ( low- fat diets)  
•  การออกกำลังกาย ( Exercise ) เช่น การว่ายน้ำ การจูงเดิน การปล่อยวิ่ง
 
สรุปการจัดการเมื่อพบว่าสัตว์เลี้ยงอ้วนเกินไป 
 
•  จัดโปรแกรมการควบคุมน้ำหนัก โดยกำหนดให้ในหนึ่งสัปดาห์ควรมีน้ำหนักที่ลดลงประมาณ 1-2% จากปกติ
•  เลือกชนิดของอาหารเหมาะสมที่จะใช้ในสูตรลดน้ำหนัก
•  ควบคุมการได้รับแคลอรี่ในร่างกาย ไม่เกิน 60-70% ของอัตราการเผาผลาญในร่างกายในระดับน้ำหนักตัวปัจจุบัน
•  งดขนมขบเคี้ยว เปลี่ยนปริมาณการให้อาหารมากเกินไปที่ทำให้อ้วน
•  เพิ่มโปรแกรมการออกกำลังกายในแต่ละวัน
•  หลังจากน้ำหนักตัวในร่างกายลดลง ให้ควบคุมน้ำหนักตัวต่อไปเพื่อไม่ให้เพิ่มขึ้นใหม่
•  ป้องกันการจะมีน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นใหม่ โดยให้ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และควบคุมปริมาณ แคลอรี่อย่างเข้มงวด
  
 
ร . ต . อ . สพ . ญ . อารยา ผลสุวรรณ์ *
http://vth.kps.ku.ac.th/pet_html/2.htm

Wednesday, July 24, 2013

โรคไข้หัดสุนัข ภัยร้ายสำหรับลูกหมา




        โรคไข้หัดสุนัขหรือที่เรียกว่า Canine Distemper (CD) เกิดจากเชื้อไวรัสไข้หัดสุนัข Canin Distemper Virus (CDV) ซึ่งอยู่ในกลุ่ม Morbillivirus ทำให้เกิดโรคได้ในสุนัขและสัตว์อื่นที่อยู่ในตระกูลเดียวกันกับ สุนัข เช่น สุนัขป่า มิ้งค์ สกั๊งค์ แรคคูณและ เฟอร์เร็ท ซึ่งสัตว์เหล่านี้มักจะเป็นตัวพาหะนำโรคมาสู่สุนัขบ้าน

          ไข้หัดสุนัข เป็นโรคติดเชื้อที่พบอาการได้ทั้งชนิดเฉียบพลันและชนิดเรื้อรัง ทั้งในระบบทางเดินหายใจ ระบบทางเดินอาหาร ระบบประสาท และผิวหนัง โดยการเกิดโรคมักจะรุนแรง อัตราการตายสูง โดยเฉพาะในลูกสุนัขอายุระหว่าง 6-12 สัปดาห์ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีความไวต่อไวรัสชนิดนี้

สาเหตุของโรค

          ไข้หัดสุนัขเกิดจากเชื้อไวรัสในกลุ่ม Morbillivirus ซึ่งเป็น RNA virus เชื้อจะถูกทำลายได้ง่ายเมื่อถูกความร้อน แสงแดด อากาศแห้ง และน้ำยาฆ่าเชื้อโรคในกลุ่มอีเทร์ ฟีนอล คลอโรฟอร์ม และคลอไรด์

การติดเชื้อ

          การ ติดเชื้อไข้หัดสุนัข ที่สำคัญมากที่สุดคือ การหายใจเอาเชื้อที่ปะปนในอากาศเข้าไป นอกจากนั้นยังพบว่าสามารถติดต่อ ได้จากการสัมผัสน้ำมูก น้ำลาย น้ำตา หรือสิ่งคัดหลั่งอื่นๆ โดยตรง แต่ ยังไม่มีรายงานว่าสามารถติดต่อได้โดยการกิน  หลังจากสุนัขได้ รับเชื้อเข้าไปในร่างกายแล้ว เชื้อไวรัสจะเข้าไปฟักตัวอยู่ที่ทอนซิล และต่อมน้ำเหลืองในบริเวณทางเดินหายใจส่วนต้น

          ระยะฟักตัวของโรคในสุนัขเฉลี่ยประมาณ 7-14 วัน โดยในระยะนี้เราอาจไม่พบความผิดปกติต่อตัวสุนัข หลังจากนั้นก็จะมีการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสไปทั่วร่างกาย โดยผ่านทางเม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซต์ (Iymphocyte) โมโนไซด์ (Monocyte) รวมทั้งแมกโครฟาจ์ (Macrophage) ทำให้เกิดการติดเชือในระบบน้ำเหลือง และกดภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ร่างกายอ่อนแอติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนได้ง่าย รวมทั้งตัวไวรัสเองเข้าทำลายเซลล์เยื่อบุต่าง ๆ ของร่างกายจึงมักพบว่าสุนัขป่วย มักจะติดเชื้อได้หลายๆ ระบบร่วมกัน เช่น ระบบทางเดินหายใจ ระบบทางเดินอาหาร ระบบผิวหนัว และระบบประสาท

อาการของโรค

          1. มีไข้สูง ซึม อ่อนแรง เบื่ออาหาร พบได้ในระยะแรกที่มีการฟักตัวของโรค

          2. ระบบทางเดินหายใจ พบน้ำมูก น้ำตาไหล ไอ จาม หายใจลำบาก ถ้าพบว่ามีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน น้ำมูกน้ำตาที่พบก็จะมีลักษณะขุ่นข้น

          3. ระบบทางเดินอาหาร มักจะพบว่าสุนัขมีอาเจียน และท้องเสีย แต่อาการจะไม่รุนแรงเหมือนการติดเชื้อลำไส้อักเสบ

          4. ระบบผิวหนัง พบว่าสุนัขจะมีตุ่มหนองกระจายตามตัว โดยจะพบมากบริเวณใต้ท้อง นอกจากนั้นในสุนัขที่มีการติดเชื้อแบบเรื้อรังจะพบว่ าผิวหนังบร ิเวณอุ้งเท้าจะหนาตัวขึ้นมากกว่าปกติ (hard pad)

          5. ะบบประสาท เมื่อเชื้อไวรัสกระจายเข้าสู่ก้านสมองและสมอง สุนัขจะไม่รู้สึกตัว ชัก กระตุม ควบคุมการเคลื่อนไหวของตัวเองไม่ได้ อาการที่พบบ่อย ๆ คือสุนัขจะเกร็ง งับปาก (gum chewing)

การวินิจฉัย

          1. ประวัติ และอาการของสัตว์ป่วย

          2. ตรวจเลือด ดูภาวะติดเชื้อไวรัสในกระแสเลือด ซึ่งเป็นการตรวจที่ไม่เฉพาะเจาะจง และอ่านผลเลือดได้ไม่แน่นอน

          3. การตรวจทางเซลล์วิทยา ย้อมสีดู Inclusion body ซึ่งมีความแม่นยำน้อย และไม่นิยมในปัจจุบัน

          4. การตรวจวัดระดับภูมิคุ้มกันหรือแอนตี้บอดี้ของร่างกายที่มีต่อเชื้อไวรัส แต่การแปรผลอาจจะผิดพลาด ถ้าหากว่าสุนัขมีภูมิคุ้มกันที่ถ่ายทอดมาจากแม่ หรือได้รับภูมิคุ้มกันจากการทำวัคซีน

          5. การ ตรวจหาเชื้อไวรัสโดยตรงในกระแสเลือด น้ำมูก น้ำตา และสิ่งคัดหลั่งต่างๆ วิธีนี้จะมีความแม่นยำสูงเป็นที่ยอมรับในปัจจุบัน และมีค่าใช้จ่ายสูง

การรักษา

          ยังไม่มียาต้านไวรัสชนิดใดที่จะใช้ในการรักษาโรคไข้หัดสุนัขได้ ผล การรักษาจะเป็นการรักษาตามอาการและป้องกันการติดเชื้ อแทรกซ้อน ดังนี้คือ

          1. ให้ยาปฎิชีวนะ ควบคุมการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน

          2. ให้น้ำเกลือ และสารอาหารเข้าทางหลอดเลือดดำ เพื่อแก้ไขภาวะขาดน้ำและสารอาหาร

          3. ให้ออกซิเจนในกรณีที่สุนัขมีอาการหายใจลำบาก ขาดออกซิเจนเนื่องจากเกิดปอดบวม (pheumonia)

          4. ให้ยาสงบประสาท หรือยาแก้ชัดในกรณีที่สุนัขมีอาการทางประสาทเนื่องจา กเชื้อไวรั สเข้าสู่สมอง

การป้องกัน

          1. แยกเลี้ยงสุนัขที่ไม่ทราบประวัติวัคซีนประมาณ 2 สัปดาห์ ก่อนนำมาเข้ากลุ่ม

          2. ให้วัคซีนในลูกสุนัข โดยลูกสุนัขในกลุ่มเสี่ยงต่อการติเชื้อไข้หัดสุนัข สามารถทำวัคซีนนได้ตั้งแต่อายุ 1 1/2 เดือน ส่วนลูกสุนัขโดยทั่วไปจะทำวัคซีนได้ในอายุ 2 เดือน หลังจากนั้นอีก 2 สัปดาห์ควรฉีดวัคซีนกระตุ้นซ้ำเพื่อให้ระดับภูมิคุ้ม กันสูงพอที่จะป้องกันโรคได้ หลังจากนั้นควรจะทำวัคซีนไข้หัดสุนัขซ้ำทุกๆ ปี โดยในปัจจุบันได้มีการพัฒนานำวัคซีนไข้หัดสุขไปรวมกับวัคซีนป้องกันโรคชนิด อื่นๆ เช่น ลำไส้อักเสบ ตับอักเสบ เลปโตสไปโรซิส หวัด-หลอดลมอักเสบติดต่อ และพิษสุนัขบ้า เพื่อความสะดวก และจดจำง่าย

แหล่งที่มา  http://pet.kapook.com/view3516.html

Sunday, July 7, 2013

มินิเอเจอร์ พินเชอร์ ราชาแห่งสุนัขกลุ่มทอย




         ในเมืองไทย ใคร ๆ ต่างก็รู้จัก สุนัขพันธุ์ มินิเอเจอร์ พินเชอร์ ในนามของหมากระเป๋า หากแต่ในต่างประเทศนั้น สุนัขพันธุ์มินิเอเจอร์ พินเชอร์ กลับได้รับฉายาว่า "The King of Toys" ซึ่งแปลเป็นไทยว่า "ราชาแห่งสุนัขกลุ่มทอย" นั่นเอง

         หลายคนคงสงสัย เหตุไฉน มินิเอเจอร์ พินเชอร์ จึงได้ฉายานี้ ทั้ง ๆ ที่หากวัดกันที่กระแสนิยมแล้ว ชิวาวา หวานใจตัวจ้อยซึ่งกำลังฮิตติดลมบนอยู่ในขณะนี้ น่าจะกินขาดชนะแบบใส ๆ โดยไม่ต้องนับคะแนนกันเลยทีเดียว

 
         หากแต่ฉายา  "The King of Toys" นั้น ไม่ได้มา เพราะโชคช่วยและไม่ได้วัดกันที่กระแสนิยมในการเลี้ยง แต่มาจากนิสัยที่มีความกล้าหาญ เด็ดเดี่ยว สู้ไม่ถอย ตรงข้ามกับขนาดของลำตัวที่เล็กกะทัดรัดโดยสิ้นเชิง 


          การระแวดระวังภัยให้กับอาณาเขตของตนไม่ต่างกับพระราชาที่คอยปกป้องดินแดนจาก การรุกรานของข้าศึก ประกอบกับท่วงท่าการเคลื่อนไหวที่สง่างาม ปราดเปรียว และความเฉลียวฉลาดของสุนัขพันธุ์นี้ ทำให้ มินิเอเจอร์ พินเชอร์ ได้รับฉายา "The King of Toys" โดยที่ไม่มีใครกล้าคัดค้าน

แหล่งที่มา  http://pet.kapook.com/view13939.html, Dogazine

Saturday, June 1, 2013

เทคนิคการเลี้ยงลูกสุนัขบางแก้วให้มีคุณภาพ



  
          เทคนิคการเลี้ยงลูกสุนัขบางแก้วให้มีคุณภาพประกอบด้วยปัจจัยหลักๆ 4 ประการ คือ

          1. สภาพแวดล้อม หรืออาณาบริเวณที่ใช้เลี้ยงลูกสุนัข หรือพูดง่ายๆคือสถานที่ที่ลูกหมาบางแก้วใช้เวลาส่วนใหญ่เป็นที่อยู่ ที่กิน ที่นอน ที่เล่น ควรให้ใกล้กับที่ซึ่งคนในบ้านเดินผ่านไปมา  เพื่อลูกหมาจะได้เห็นและสัมผัสกับคนในบ้าน เป็นการเรียนรู้การอยู่ร่วมกันของผู้เลี้ยงกับลูกหมาบางแก้ว นอกจากนี้ควรมีการวิ่งออกกำลังกายกับลูกหมา เพื่อสร้างกิจกรรมร่วมและเป็นเริ่มต้นในการเรียนรู้พื้นฐาน

          บริเวณที่ลูกหมาอยู่ พื้นจะต้องไม่ลื่นโดยเด็ดขาด เพราะถ้าพื้นลื่นจะเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ลูกหมาบางแก้วขาเสีย มีอาการดังนี้ คือ ส่วนปลายของขาทั้ง 2 คู่จะแบะออกจากกัน นิ้วเท้าจะกางออก ขาหลังจะเดินขัดหรือกระเผก เพราะว่าลูกหมาบางแก้วจะค่อนข้างปราดเปรียว ว่องไว เวลาที่อยู่บนพื้นผิวที่ลื่น ลูกหมาจะต้องปรับสภาพตัวเองให้สามารถทรงตัวอยู่บนพื้นลื่นนั้นให้ได้ คล้ายๆ เวลาคนที่ยืนบนที่ลื่นก็ต้องกางขาออก เพื่อให้น้ำหนักตัวกระจายออกไป ถ้าปล่อยให้อยู่ในสภาพนี้ไปนานๆ ก็อาจเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดข้อสะโพก

 
          2. ความสะอาด อย่าปล่อยให้มีการหมักหมมของสิ่งสกปรก อันเนื่องมาจากสาเหตุต่างๆ ควรมีการทำความสะอาดทุกวัน และควรทำให้พื้นแห้งเร็วที่สุด เพราะสิ่งสกปรกเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรค ควรราดพื้นด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อโรคด้วยจะเป็นการดี เพราะนอกจากจะเป็นการฆ่าเชื้อแล้ว ยังช่วยดับกลิ่นไม่พึงประสงค์อีกด้วย ทำให้สุขภาพลูกหมาแข็งแรงสมบูรณ์

          3. ลม แดด ฝน บริเวณ ที่อยู่ของลูกหมาควรมีแดดส่องในตอนเช้า เพราะแสงแดดจะช่วยฆ่าเชื้อโรค และควรให้มีอากาศถ่ายเทดี แต่ต้องไม่มีลมโกรก ฝนสาด เพราะจะทำให้ลูกหมาไม่สบายได้

 
          4. การให้อาหาร โดยทั่วไปลูกหมามักจะกินเก่งและจุ ทำให้น้ำหนักตัวขึ้นเร็วมาก เพราะอยู่ในช่วงเจริญพันธุ์ ดังนั้น ต้องควบคุมอาหาร การให้อาหารต้องใช้สูตรที่ว่า "ทำอย่างไรจึงไม่อ้วน แต่มีสุขภาพแข็งแรง" แต่ ก็ไม่ได้หมายความว่าเลี้ยงจนผอมเกินไป ควรให้อยู่ในขนาดที่เหมาะสม วิธีให้อาหาร ให้อย่างไร ต้องให้ในปริมาณที่พอเหมาะ พอเพียงในแต่ละวัน การให้อาหารจะแบ่งเป็นมื้อๆ เพื่อให้ขนาดที่พอเหมาะกับขนาดของกระเพาอาหาร อย่างให้กินจนพุงกางเกินไป จำนวนมื้ออกาหารควรสัมพันธ์กับอายุ เพราะกระเพาะอาหารจะขยายใหญ่ขึ้นตามอายุด้วย อายุต่ำกว่า 3 เดือน 4 มื้อต่อวัน / 3-6 เดือน 3 มื้อต่อวัน/ 6-18 เดือน 2 มื้อ และ 18 เดือนขึ้นไป 1 มื้อ

          ข้อดีของการให้อาหารเป็นมื้อคือ สามารถสังเกตว่าลูกหมาป่วยหรือไม่ เพราะโดยปกติถ้าป่วย จะกินอาหารน้อยลง หรือไม่กินเลย เป็นการฝึกให้กินอาหารเป็นเวลา กะเวลาดูว่าพอสมควร ถ้ายังไม่หมดให้เก็บกลับทันที ไม่ต้องกลัวว่ามันจะหิวตาย

 
          ส่วนชนิดของอาหาร ควรเป็นอาหารเม็ดสำเร็จรูป จะยี่ห้ออะไรก็แล้วแต่ทุนทรัพย์ตามสะดวก อาหารเสริมจำพวกวิตามิน หรือยาบำรุ่งต่างๆ แคลเซียม จะทำให้ลูกหมามีโครงสร้างที่ดี น้ำควรตั้งเอาไว้ให้ตลอดเวลา แล้วน้ำก็ต้องสะอาดด้วย รวมทั้งควรมีที่รองและตั้งระดับได้ เพื่อให้ลูกหมายืนสวย

แหล่งที่มา  http://pet.kapook.com/view2476.html, สื่อรักสัตว์เลี้ยง