Saturday, May 17, 2014

คิดให้ดีก่อนมีหมาจร




พิชิตปัญหาสัตว์เลี้ยง-คิดให้ดีก่อนมีหมาจร

          วิถีทางที่สำคัญประการหนึ่งในการแก้ปัญหาหมาจรจัดอย่างยั่งยืนก็คือ การนำหมาจรจัดมาเลี้ยงเป็นหมาบ้าน มันจะเปลี่ยนสถานะจากหมา Mid road หรือหมากลางถนนมาอยู่ในสถานที่มีรั้วรอบขอบชิด และที่สำคัญมีผู้รับผิดชอบในความรักและเลี้ยงดูมันต่อไปชั่วชีวิต ฝากผีฝากไข้ไว้ได้นั่นเอง

          การอุปการะหมาจากสถานเลี้ยงหรือสงเคราะห์หมาจรจัด จึงเป็นกิจกรรมที่ทุกแห่งต้องมี โดยเฉพาะกับหมาจรจัดซึ่งมิใช่หมาเด็ก เป็นหมาที่อยู่ในวัยรุ่น วัยฉกรรจ์ไปจนถึงบางตัวก็มีอายุพอควร ส่วนหมาเด็กไม่ค่อยต้องห่วงเนื่องจากออกตัวง่าย ใคร ๆ ก็ช่วยอุปการะ ด้วยความเชื่อว่ามันจะเชื่องและเชื่อฟังกว่าหมาโต ดังนั้นหมาโตจึงคั่งค้างอยู่เป็นปัญหาและภาระของสถานสงเคราะห์ต่อไป เมื่อสั่งสมมากเข้าก็ทำให้เกิดปัญหาหมาล้น ซึ่งยากแก่การแก้ไข ผู้ดำเนินการก็ปวดหัวกับเรื่องนี้อยู่ทุกๆแห่ง

 
          สำหรับ ผู้ที่มีจิตใจดีอยากช่วยสัตว์ผู้ยาก ด้วยการรับเข้าไปในบ้าน ถ้าไม่มีปัญหาจากหมาก็ดีไป แต่หลายๆ รายกลายเป็นได้รับทุกข์แทน เช่น หมา ดื้อไม่เชื่อฟัง หมาเอาแต่หลบหนี หมาไม่ยอมให้จับต้องตัว หมาเห่าหอนไม่หยุดหย่อน หมากัด! ฯลฯ จนถึงกับต้องส่งคืนก็มี ซึ่งน่าเห็นใจครับ สงสารทั้งผู้ใจบุญและหมาผู้ด้วยบุญ สิ่งสำคัญสำหรับผู้อยากช่วยสงเคราะห์อุปถัมภ์หมาจรจัดเหล่านั้นควรจะต้อง เข้าใจ ตระหนัก พิจารณา เพื่อเตรียมตัวตัดสินใจก่อนการรับสงเคราะห์หมา โดยใช้เกณฑ์ดังนี้

         
1.หากครอบครัวคุณมีเด็กเล็กหรือกำลังจะมี อย่าเพิ่งอุปการะหมา หาบ้านให้ใหม่นะครับ เพราะอาจก่อปัญหากับเด็กเล็กในอนาคตได้

         
2.หากบ้านคุณไม่มิดชิด คือปราศจากรั้วรอบขอบชิด ป้องกันหมามิให้เล็ดลอดไปได้ ก็ต้องจัดการให้สมบูรณ์ก่อนครับ

          
3.หากที่บ้านมีหมาอยู่เดิม มีนิสัยค่อนข้างดุ ก้าวร้าว ขี้หวง ยังไม่ได้ทำหมันหรือตอน ฯลฯ อย่านำหมาจรจัดเข้าไปเลี้ยงอีก โอกาสไม่เข้ากันเป็นไปได้สูง

 
         
4.หากคุณไม่มีเวลาให้หมาจริงๆ ไม่สามารถปลีกเวลามาเล่น ดูแล และให้ความรักแก่เขาได้ ก็อย่ารับมาเลี้ยงเพราะหมาจรจัดต้องการมาก

          
5.หากคุณเป็นคนที่ต้องเดินทางบ่อย ไม่อยู่บ้านเป็นประจำ จำต้องปิดบ้านไว้โดยไม่มีใครอยู่ดูแล ก็ไม่ควรนำหมาเหล่านี้เข้ามาเลี้ยงเพราะหมาจะรู้สึกว่าถูกทอดทิ้งอย่างที่ เคยโดนมาก่อน ทรมานเขาอีกครั้ง คล้ายกับหนีเสือปะจระเข้อย่างนั้นแหละครับ

         
6.แม้ที่บ้านจะมีหมาเดิมอยู่ และไม่ใช่หมาก้าวร้าว คุณก็ต้องแน่ใจว่ามีเวลาแนะนำ และช่วยปรับตัวให้หมาเข้ากับหมาเดิมได้ ซึ่งต้องใช้เวลาอยู่พอควร

 
         
7.พิจารณาดูตัวเองว่ามีคุณสมบัติความเป็นผู้นำ หรือจ่าฝูงได้ดีแค่ไหน เมื่อต้องควบคุมหมาที่มีอยู่เดิม และหมาตัวใหม่ที่นำเข้ามา ต้องมั่นใจว่าเข้มแข็งพอจะหย่าศึกได้นะครับ

         
8.ถ้าคุณเป็นคนขี้รำคาญต้องรู้ว่าหมาจรจัดนั้นเขาจะติดเจ้าของใหม่มาก และมักติดตามคุณทุกฝีก้าวเนื่องจากกลัวถูกทอดทิ้งซ้ำอีก (เดิมก็ถูกทิ้งให้เป็นหมาจรจัดไปรอบหนึ่งแล้ว) จนดูราวกับพัวพันนัวเนียอยู่รอบๆ ตัวคุณตลอดเวลา ถ้าเข้าใจเสียหน่อยก็ไม่เป็นปัญหาหรอกครับ
         
         
9.ควรให้เวลา ใช้เวลาไปศึกษานิสัยใจคอและอารมณ์ของหมาตัวที่คุณหมายตาไว้ก่อนนำเข้าบ้าน ทำความรู้จักมักคุ้นเสียก่อนจนมั่นใจว่าคุณรู้ใจเขา เขารู้ใจคุณ มีความผูกพันกันก่อนจึงนำมาเลี้ยงครับ

 
          เท่าที่ผมดู คนไทยใจเร็วเห็นปุ๊บรักปั๊บนำกลับบ้านทันที ทั้งที่ยังไม่รู้พื้นเพว่าเป็นอย่างไร แล้วก็เกิดปัญหาภายหลัง หวังว่าใครที่จะรับหมาไปเลี้ยงน่าจะได้ข้อคิดไปใช้ประโยชน์บ้างนะครับ!

โดย ปานเทพ รัตนากร
แหล่งที่มา  คมชัดลึก, http://pet.kapook.com/view7472.html
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Tuesday, May 13, 2014

10 ความจริงเกี่ยวกับเจ้าตูบที่คุณอาจไม่รู้



1. ลายจมูก


ลายจมูกของสุนัขแต่ละตัวนั้น จะไม่มีทางซ้ำกันเลย เปรียบเสมือนกับลายนิ้วมือของคนนั่นเอง

2. ตั้งท้อง


แม่สุนัขใช้เวลาตั้งท้องประมาณ 2 เดือน จึงให้กำเนิดลูกสุนัข

3. ฟัน


สุนัขที่โตเต็มที่ มีฟันทั้งหมด 42 ซี่

4. หนาแน่น


อเมริกาเป็นประเทศที่มีประชากรสุนัขมากที่สุดในโลก โดยชาวอเมริกันที่เลี้ยงสุนัข มีมากถึง 1 ใน 3 ของจำนวนประชากรในประเทศเลยทีเดียว

5. เจ้าของยิ้ม


94% ของเจ้าของสุนัข ยอมรับว่าสุนัขในอาณัติทำให้พวกเขายิ้มได้มากกว่าวันละ 1 ครั้ง

6. ฝึก


สุนัขเป็นสัตว์ชนิดแรกที่มนุษย์นำมาฝึกให้เชื่อง

7. ไม่ชอบ


สุนัขไม่ชอบเสียงฝนตก เพราะรบกวนโสตประสาทที่ไวต่อเสียงของมันมาก

8. สุนัขพันธุ์บาเซ็นจิ


สุนัขพันธุ์บาเซ็นจิ เป็นสุนัขพันธุ์เดียวในโลกที่ไม่เห่า ทำได้แค่ส่งเสียงคำรามสั้น ๆ ในลำคอเท่านั้น

9. สุนัขตัวเล็กมีแนวโน้มอายุยืนกว่าสุนัขตัวใหญ่


สุนัขตัวเล็กมีแนวโน้มอายุยืนกว่าสุนัขตัวใหญ่ โดยสามารถมีอายุได้ถึง 16 ปีหรือมากกว่านั้น ขณะที่สุนัขตัวใหญ่ ๆ จะมีอายุขัยเฉลี่ยประมาณ 8-15 ปีเท่านั้น อย่างไรก็ดี มีสุนัขตัวใหญ่ที่อายุยืนกว่าอายุขัยเฉลี่ยถมเถไป

10. อายุมากที่สุด


สุนัขที่อายุยืนที่สุดที่กินเนสส์บุ๊กบันทึกไว้ คือเจ้าบลูอี้ สุนัขพันธุ์ออสเตรเลียน แคตเทิล ซึ่งมีอายุยืนถึง 29 ปี

แหล่งที่มา  http://27.254.44.103:81/~topten/3188-top.html
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Saturday, May 10, 2014

ทำไมสุนัขถึงชอบกัดแทะรองเท้า?






เรื่องของการชอบกัดแทะทำลายสิ่งของนั้น ... นับว่าเป็นนิสัยที่แยกไม่ออกของลูกสุนัขเลยทีเดียว นอกจากนิสัยแย่ๆ ทั้งหลายอาทิ เช่น เห่าเก่ง ร้องเก่ง อึเก่ง แล้ว นิสัยที่ว่ามาคือยังเป็นนักทำลายตัวยงอีกต่างหาก

ในเรื่องนี้เราต้องไม่ลืมว่าลูกสุนัขก็เหมือนลูกคนนี้แหละค่ะ มีความอยากรู้อยากเห็น ความซนอยู่ในสายเลือด และอีกสาเหตุที่ถือเป็นปัจจัยหลักของการแทะก็คือ ฟันของเค้ากำลังจะขึ้นนั้นเอง ทำให้เค้ารู้สึก มันเขี้ยว ขัดเชี้ยวเคี่ยวฟันขึ้นมา ซึ่งสิ่งของที่ถือเป็นของยอดฮิตของเค้าก็คือ รองเท้านั่นเอง ซึ่งในสุนัขที่โตขึ้นมาอีกหน่อยก็จะแทะของที่แข็งขึ้นเพื่อให้ฟันน้ำนมหลุดออก

  
วิธีแก้ไข  

ไม่ยากค่ะ!! เค้าอยากกัดก็ให้เค้ากัดให้หนำใจเลยค่ะ แต่อย่าให้เป็นสิ่งที่เราไม่ต้องการก็แล้วกัน ของที่กัดได้มีเยอะแยะค่ะ เลือกตามสบาย ไม่ว่าจะเป็น กระดูกยาง กระดูกหนัง รองเท้ายาง กระดูกอัด ลูกบอล ฯลฯ ซึ่งนอกจากจะช่วยระบายอารมณ์ของเค้าแล้ว ยังสามารถช่วยขัดฟัน และนวดเหงือกของเค้าได้อีกด้วย  


แต่ที่สำคัญอีกอย่าง คือ ต้องดุว่าเค้าเมื่อเค้าแทะสิ่งที่เราไม่ต้องการ และพยายามอย่าไปยื้อแย่งดึงสิ่งที่เค้าคาบออกจากปากเด็ดขาด เนื่องจากเค้าจะคิดว่าเราเล่นกับเค้า และหากเค้าไม่เชื่ออาจต้องตีที่สะโพกเค้าบ้าง และเมื่อเค้าหยุด และเชื่อฟังเรา เราควรให้ของเล่นที่แทะได้เหล่านั้นเป็นรางวัลแก่เค้า เป็นการบอกว่าสิ่งไหนแทะได้สิ่งไหนแทะไม่ดี  และอีกอย่างคุณไม่ควรให้ลูกสุนัขกัดแทะมือคุณเด็ดขาด เนื่องจากเค้าอาจจะเคยชิน และสับสนได้ว่าสิ่งไหนแทะได้สิ่งไหนแทะไม่ได้ นอกจากนั้นยังอาจเป็นช่องทางให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายอีกด้วย 



ให้พยายามทำเช่นนี้ทุกครั้งที่เห็นเค้ากัดแทะในสิ่งที่เราไม่ต้องการ การสอนบ่อยๆ จะทำให้เค้าจำได้ และหยุดนิสัยชอบกัดแทะทำลายสิ่งของไปในที่สุด

ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต